Nội dung
บริหารงบโฆษณา Google Ads กว่า 12 ล้านดอลลาร์ให้ธุรกิจท้องถิ่น บทความนี้จะแนะนำการตั้งค่าแคมเปญ Google Ads อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างลูกค้าเป้าหมายคุณภาพสูง
ตั้งค่าบัญชี Google Ads
ขั้นตอนแรก เข้าไปที่ ads.google.com แล้วคลิก “เริ่มต้นใช้งาน” กรอกข้อมูลธุรกิจของคุณให้ครบถ้วน ข้อควรระวัง ให้ข้ามขั้นตอนการสร้างแคมเปญด่วนของ Google โดยเลือก “ข้าม” เพื่อควบคุมแคมเปญด้วยตนเอง หลีกเลี่ยงการสิ้นเปลืองงบประมาณ หลังจากเสร็จสิ้น ให้กรอกข้อมูลการชำระเงินเพื่อเปิดใช้งานบัญชี
สร้างแคมเปญใหม่
ในหน้า Google Ads เลือก “แคมเปญ” -> “+” -> “แคมเปญใหม่” เลือกเป้าหมายเป็น “ลูกค้าเป้าหมาย” เพื่อให้ Google เข้าใจวัตถุประสงค์ของคุณ
ประเภทแคมเปญ: เลือก “ค้นหา” เพื่อแสดงโฆษณาบนหน้าผลการค้นหาของ Google (SERPs) ไม่ต้องเลือกประเภทแคมเปญอื่นๆ เช่น Performance Max, ดิสเพลย์, วิดีโอ เพราะมีประสิทธิภาพน้อยกว่าในการสร้างลูกค้าเป้าหมายคุณภาพสูงสำหรับธุรกิจท้องถิ่น
ข้ามเป้าหมาย Conversion: ในระยะแรก ยังไม่จำเป็นต้องตั้งค่าเป้าหมาย Conversion ให้เน้นการตั้งค่าการติดตาม Conversion เพื่อรวบรวมข้อมูล ปรับแต่งแคมเปญในภายหลัง
ตั้งชื่อแคมเปญ: ใช้ชื่อที่จำง่าย ช่วยให้คุณจัดการหลายแคมเปญพร้อมกันได้
กลยุทธ์การเสนอราคา
ไม่ใช้การเสนอราคาอัตโนมัติ: หลีกเลี่ยงกลยุทธ์การเสนอราคาอัตโนมัติ (Smart Bidding) เช่น “เพิ่มมูลค่า Conversion สูงสุด”, “เพิ่มจำนวนคลิกสูงสุด” Google จะเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อผลกำไรของตนเอง ไม่ใช่ของคุณ
เลือกการเสนอราคาด้วยตนเอง (Manual CPC): Google มักจะซ่อนตัวเลือกนี้ไว้ หลังจากสร้างแคมเปญ คุณสามารถค้นหาได้ในการตั้งค่า Manual CPC ช่วยให้คุณควบคุมงบประมาณและราคาเสนอสำหรับแต่ละคีย์เวิร์ดได้อย่างเต็มที่
เครือข่ายและตำแหน่ง
ยกเลิกการเลือก “รวมพาร์ทเนอร์การค้นหา” และ “รวมเครือข่ายดิสเพลย์ของ Google”: เน้นเฉพาะเครือข่ายการค้นหาของ Google เพื่อเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายที่มีความต้องการอย่างแท้จริง
กำหนดเป้าหมายตำแหน่ง: เลือก “ผู้คนที่อยู่ในหรือมักจะอยู่ในตำแหน่งเป้าหมายของคุณ” แสดงโฆษณาเฉพาะผู้ใช้ในพื้นที่ที่คุณให้บริการ ใช้ “การค้นหาขั้นสูง” เพื่อกำหนดเป้าหมายตามเมือง รหัสไปรษณีย์ หรือรัศมีที่เฉพาะเจาะจง
ภาษา: เลือกภาษาที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ (เช่น ภาษาไทย)
การตั้งค่าเพิ่มเติม
กำหนดเวลาโฆษณา: แสดงโฆษณาเฉพาะในช่วงเวลาทำการของธุรกิจ เพื่อให้แน่ใจว่ามีคนรับสายอยู่เสมอ
เพิ่มประสิทธิภาพการหมุนเวียนโฆษณา: เลือก “เพิ่มประสิทธิภาพ: ให้ความสำคัญกับโฆษณาที่ทำงานได้ดีที่สุด” เพื่อให้ Google แสดงโฆษณาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดโดยอัตโนมัติ
กลุ่มโฆษณาและคีย์เวิร์ด
สร้างกลุ่มโฆษณาแยกต่างหากสำหรับแต่ละบริการ: แต่ละกลุ่มโฆษณาควรเน้นเฉพาะบริการใดบริการหนึ่ง ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นช่างประปา ให้สร้างกลุ่มโฆษณาแยกต่างหากสำหรับ “ซ่อมท่อประปา” และ “แก้ไขท่อตัน”
ใช้ประเภทการจับคู่คีย์เวิร์ดที่ถูกต้อง:
- การจับคู่แบบกว้าง: หลีกเลี่ยงการใช้งาน เพราะกว้างเกินไป อาจทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณ
- การจับคู่วลี: ใช้วงเล็บ (“”) แสดงโฆษณาเมื่อผู้ใช้ค้นหาวลีที่ตรงกันหรือรูปแบบต่างๆ ของวลีนั้น ตัวอย่างเช่น “ซ่อมท่อประปา กรุงเทพ”
- การจับคู่แบบตรงทั้งหมด: ใช้วงเล็บ ([]) แสดงโฆษณาเฉพาะเมื่อผู้ใช้ค้นหาวลีที่ตรงกันทุกประการ ตัวอย่างเช่น [ซ่อมท่อประปา กรุงเทพ]
เพิ่มคีย์เวิร์ดเชิงลบ: ลบคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้อง หลีกเลี่ยงการสิ้นเปลืองงบประมาณ ตัวอย่างเช่น หากคุณไม่มีบริการซ่อมฟรี ให้เพิ่มคีย์เวิร์ดเชิงลบ “ฟรี”
เขียนโฆษณา
URL สุดท้าย: ใช้ Landing Page เฉพาะสำหรับแต่ละบริการ เพิ่มประสิทธิภาพ Conversion หลีกเลี่ยงการเชื่อมโยงไปยังหน้าแรก
พาธที่แสดง: ใช้สูงสุด 15 ตัวอักษรสำหรับแต่ละพาธ อธิบายเนื้อหาของ Landing Page อย่างชัดเจน
หัวข้อ: เขียนหัวข้อที่น่าสนใจ โดดเด่น มีคีย์เวิร์ดหลักและประโยชน์สำหรับลูกค้า
คำอธิบาย: ให้ข้อมูลเพิ่มเติม ชักชวนลูกค้าให้คลิกโฆษณา
งบประมาณ
คำนวณงบประมาณรายวัน: แบ่งงบประมาณรายเดือนตามจำนวนวันที่แสดงโฆษณาในเดือน
ติดตาม Conversion
ตั้งค่าการติดตามการโทร: ใช้หมายเลขโทรศัพท์ติดตาม เพื่อทราบจำนวนการโทรที่แน่นอนจากโฆษณา
ตั้งค่าการติดตาม Conversion บนเว็บไซต์: ติดตามพฤติกรรมของลูกค้าบนเว็บไซต์ เช่น การกรอกแบบฟอร์มติดต่อ ใช้ Google Tag Manager หรือติดตั้งโค้ดติดตามด้วยตนเอง
สรุป
การตั้งค่าแคมเปญ Google Ads อย่างมีประสิทธิภาพต้องใช้ความละเอียดรอบคอบและความอดทน ด้วยการทำตามคำแนะนำโดยละเอียดนี้ คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญ สร้างลูกค้าเป้าหมายคุณภาพสูงสำหรับธุรกิจบริการท้องถิ่นของคุณได้ ควรติดตาม วิเคราะห์ข้อมูล และปรับเปลี่ยนแคมเปญอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด