Nội dung
- รีทาร์เก็ตติ้ง Facebook: กลยุทธ์เปลี่ยนผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า
- กลุ่มโฆษณา 1: มุ่งเป้าไปที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์
- กลุ่มโฆษณา 2: มุ่งเป้าไปที่ลูกค้าที่เพิ่มสินค้าลงในตะกร้า
- กลุ่มโฆษณา 3: มุ่งเป้าไปที่รายชื่อลูกค้าทั้งหมด
- รีทาร์เก็ตติ้ง Facebook: กลยุทธ์รักษาลูกค้า
- กลุ่มโฆษณา 4: ลูกค้าที่ซื้อสินค้าทุกช่วงเวลา
- กลุ่มโฆษณา 5: ลูกค้าที่ซื้อสินค้าในช่วง 180 วัน
- กลุ่มโฆษณา 6: ลูกค้าที่ซื้อสินค้าในช่วง 45 วัน
- สรุป
เคยสงสัยไหมว่าทำไมลูกค้าถึงเข้าเว็บไซต์ของคุณแต่ไม่ซื้อสินค้า? ถ้าคุณสามารถเตือนพวกเขา ดึงดูดให้พวกเขากลับมา และเปลี่ยนจากการดูเว็บไซต์ให้กลายเป็นการสั่งซื้อได้ล่ะ? นั่นคือวิธีการทำงานของรีทาร์เก็ตติ้ง ซึ่งช่วยให้คุณเปลี่ยนผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าได้ แม้จะมีข้อจำกัดต่างๆ ของ Facebook ในปัจจุบัน รีทาร์เก็ตติ้งไม่ใช่แค่การสร้างโฆษณา แต่เป็นการสร้างการเตือนความจำ และเปลี่ยนผู้เข้าชมที่หายไปให้กลายเป็นลูกค้าจริง บทความนี้จะแนะนำวิธีการตั้งค่าแคมเปญรีทาร์เก็ตติ้งบน Facebook อย่างมีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจ E-commerce
รีทาร์เก็ตติ้ง Facebook: กลยุทธ์เปลี่ยนผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า
แคมเปญรีทาร์เก็ตติ้งที่มีประสิทธิภาพต้องมีโครงสร้างที่ชัดเจนและการแบ่งกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง ตัวอย่างของแคมเปญที่ประสบความสำเร็จในช่วง 30 วันที่ผ่านมา ด้วย ROAS 5.97 (ลงทุน 1 ดอลลาร์ ได้กำไรเกือบ 6 ดอลลาร์) จะถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อแสดงให้เห็นถึงวิธีการตั้งค่า แคมเปญนี้แบ่งออกเป็นสามกลุ่มโฆษณา เหมาะสำหรับงบประมาณตั้งแต่ 10 ถึง 30,000 ดอลลาร์ต่อเดือน หากงบประมาณมากกว่านี้ คุณต้องแบ่งกลุ่มเป้าหมายให้ละเอียดมากขึ้น
กลุ่มโฆษณา 1: มุ่งเป้าไปที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์
กลุ่มโฆษณานี้มุ่งเป้าไปที่ผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ง่ายที่สุดในการสร้าง คุณสามารถทำได้ในแพลตฟอร์มโฆษณา Facebook โดยเลือก “สร้างกลุ่มเป้าหมายแบบกำหนดเอง” -> “เว็บไซต์” ตั้งชื่อกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนเพื่อให้ง่ายต่อการจัดการและนำกลับมาใช้ใหม่
หมายเหตุ: เลือกเฉพาะ “ผู้เข้าชมเว็บไซต์ทั้งหมด” ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา อย่าเลือก “กลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกัน” หรือเปลี่ยนแปลงอายุ เพศ หรือเพิ่มการกำหนดเป้าหมายโดยละเอียดอื่นๆ
ยกเว้น: ยกเว้นลูกค้าที่ซื้อสินค้าแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงการซ้ำซ้อนและมุ่งเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้อง
ตำแหน่งโฆษณา: ใช้ “ตำแหน่งโฆษณาที่แนะนำ +” เพื่อแสดงโฆษณาบนระบบนิเวศของ Meta ทั้งหมด รวมถึง Facebook, Instagram, Stories, Reels, WhatsApp, Audience Network และ Marketplace
กลุ่มโฆษณา 2: มุ่งเป้าไปที่ลูกค้าที่เพิ่มสินค้าลงในตะกร้า
กลุ่มนี้มุ่งเป้าไปที่ผู้ที่เพิ่มสินค้าลงในตะกร้าในช่วง 90 วันที่ผ่านมา แต่ยังไม่ได้ซื้อสินค้า ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีโอกาสซื้อสูงมาก
กลุ่มเป้าหมาย: รวมรายชื่อผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่เพิ่มสินค้าลงในตะกร้าในช่วง 90 วันที่ผ่านมา ซึ่งสร้างจาก Facebook Pixel นอกจากนี้ ควรรวมเข้ากับ CRM (เช่น Clavio) เพื่อนำเข้ารายชื่ออีเมลลูกค้า ช่วยเพิ่มอัตราการจับคู่กลุ่มเป้าหมาย
ยกเว้น: เช่นเดียวกับกลุ่มที่ 1 ยกเว้นลูกค้าที่ซื้อสินค้าแล้ว
การตั้งค่า: ใช้การตั้งค่าเดียวกันกับกลุ่มที่ 1
กลุ่มโฆษณา 3: มุ่งเป้าไปที่รายชื่อลูกค้าทั้งหมด
กลุ่มนี้มุ่งเป้าไปที่รายชื่อลูกค้าเป้าหมายทั้งหมด รวมถึงผู้ที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับเพจ Facebook, Instagram, ลงทะเบียนอีเมล/SMS ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดและมีศักยภาพในการสร้าง ROAS สูง
กลุ่มเป้าหมาย: ใช้รายชื่อลูกค้าจาก CRM (เช่น Clavio) การรวม CRM เข้ากับ Facebook Ads เป็นสิ่งสำคัญมากเพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูลลูกค้าให้ได้มากที่สุด
ยกเว้น: ยกเว้นลูกค้าที่ซื้อสินค้าแล้ว
การตั้งค่า: ใช้การตั้งค่าเดียวกันกับกลุ่มที่ 1 และ 2
รีทาร์เก็ตติ้ง Facebook: กลยุทธ์รักษาลูกค้า
นอกจากการดึงดูดลูกค้าใหม่ การรักษาลูกค้าเก่าก็มีความสำคัญเช่นกัน ต่อไปนี้เป็นกลยุทธ์รีทาร์เก็ตติ้งเพื่อรักษาลูกค้า:
กลุ่มโฆษณา 4: ลูกค้าที่ซื้อสินค้าทุกช่วงเวลา
มุ่งเป้าไปที่ลูกค้าทั้งหมดที่เคยซื้อสินค้า
ยกเว้น: ยกเว้นลูกค้าที่ซื้อสินค้าในช่วง 180 วันล่าสุด และ 7 วันล่าสุด เพื่อหลีกเลี่ยงการสิ้นเปลืองงบประมาณกับลูกค้าที่ซื้อสินค้าไปแล้วเมื่อเร็วๆ นี้ หรือไม่ได้กลับมาซื้อซ้ำเป็นเวลานาน
กลุ่มโฆษณา 5: ลูกค้าที่ซื้อสินค้าในช่วง 180 วัน
มุ่งเป้าไปที่ลูกค้าที่ซื้อสินค้าในช่วง 180 วันที่ผ่านมา
ยกเว้น: ยกเว้นลูกค้าที่ซื้อสินค้าในช่วง 7 วัน และ 45 วันล่าสุด
กลุ่มโฆษณา 6: ลูกค้าที่ซื้อสินค้าในช่วง 45 วัน
มุ่งเป้าไปที่ลูกค้าที่ซื้อสินค้าในช่วง 45 วันที่ผ่านมา ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีโอกาสซื้อซ้ำสูง
ยกเว้น: ยกเว้นลูกค้าที่ซื้อสินค้าในช่วง 7 วันล่าสุด
สรุป
รีทาร์เก็ตติ้งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการโฆษณา Facebook สำหรับ E-commerce ด้วยการแบ่งกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนและการตั้งค่าแคมเปญที่ถูกต้อง คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณา เพิ่มอัตราการแปลง และรักษาลูกค้า ลองนำกลยุทธ์เหล่านี้ไปใช้ และติดตามผล ปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด